ซื้อหรือเช่า เชื่อว่าเป็นคำถามที่หลาย ๆ คน เคยครุ่นคิดว่าจะเลือกแบบไหนดี เพราะการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อคอนโดมิเนียม หรือซื้อทาวน์เฮ้าส์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาระหนักอึ้ง
ซื้อหรือเช่า ก่อนอื่นลองมาไล่เรียงกันดูดีกว่าว่า มีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไรบ้าง
เปรียบเทียบเช่ากับซื้อต่างกันอย่างไร
ซื้อหรือเช่า ต่างกันหลายด้าน แบ่งเป็นหัวข้อหลัก ๆ ได้ดังนี้
เงินก้อน
ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตั้งแต่เริ่มซื้อต้องมีเงินดาวน์ ต้องหาเงินกู้ รวมทั้งค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ผู้ซื้อจึงต้องมีเงินก้อน หรือเงินออมก้อนใหญ่ ต่างจากการเช่าบ้าน หรือเช่าคอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเพียงค่าเช่าล่วงหน้า 1-2 เดือน หรือเงินประกันทรัพย์สินเท่านั้น
ประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น สำหรับการซื้อบ้านหลังแรก
ค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง
หากเป็นโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่มักขายเป็นบ้านเปล่า ผู้ซื้อจึงต้องเตรียมเงินไว้ตกแต่งบ้าน และหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วย เช่นเดียวกับโครงการคอนโดมิเนียมบางแห่งอาจมีแค่บิลท์อินให้บางส่วน ซึ่งผู้ซื้อจะต้องเตรียมเงินไว้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยเช่นกัน ส่วนการเช่าอยู่ ห้องส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ หรือบางแห่งมีเครื่องไฟฟ้าให้ด้วย
ค่าใช้จ่ายในอนาคต
เมื่อซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเงินผ่อนที่ต้องผ่อนกับธนาคารทุกเดือน ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่ค่าส่วนกลาง ส่วนการเช่าอยู่นั้นอาจไม่ต้องเสียอะไรเลยนอกจากค่าเช่า เพราะบางแห่งได้รวมค่าส่วนกลางไปแล้ว หรือค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าตกลงกับผู้ให้เช่าไว้อย่างไร บางแห่งจะดูแลส่วนนี้ให้ทั้งหมด
ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต
แน่นอนว่าการเช่าอยู่จะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะหากมีการเปลี่ยนงาน หรือไม่พอใจก็สามารถโยกย้ายได้ โดยการบอกเลิกสัญญาเช่าล่วงหน้า 1 เดือน แต่หากเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียม หากคิดจะย้ายที่อยู่ ก็ต้องลงประกาศขายบ้านในเว็บไซต์ หรือจ้างเอเจ้นท์เข้ามาดูแลขายหรือปล่อยเช่า
โอกาสในการลงทุนหรือทำกำไร
อ่านมา 4 ข้ออาจจะคิดว่าการซื้อดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ข้อดีของการซื้อก็คือความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์นั้น นอกจากนี้ยังสามารถนำบ้านหรือคอนโดมิเนียมนำไปลงทุนหรือทำกำไรได้ ทั้งการขายต่อ หรือปล่อยเช่า ซึ่งหากเช่าอยู่จะไม่สามารถทำได้

ซื้อหรือเช่า ต่างชาติคิดเห็นอย่างไร
บ้านมีราคาสูงเกินไป
จากผลสำรวจของ Apartment list พบว่า ในปี 2562 ชาวมิลเลนเนียลตั้งใจว่าจะเช่าที่พักอาศัยแบบไม่มีกำหนดเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 12.3% จาก 10.7% ในปีก่อนหน้า และยังพบว่าชาวมิลเลนเนียลมีแนวโน้มที่จะเช่าที่พักอาศัยระยะยาวมากขึ้น และเริ่มการผ่อนซื้อที่พักอาศัยช้ากว่าคนรุ่นก่อน
สาเหตุสำคัญมาจากราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 39% จาก 40 ปีก่อน ขณะที่เงินดาวน์กำหนดไว้ที่ 20% ของราคาที่พักอาศัย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญเนื่องจากมีเพียง 12.9% ของชาวมิลเลนเนียลอเมริกันเท่านั้นที่มีเงินเก็บมากกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีชาวมิลเลนเนียลอเมริกันเพียง 13% ที่มีเงินเก็บมากพอที่จะจ่ายเงินดาวน์บ้าน
ด้านผลวิจัยจาก PwC เปิดเผยว่า ชาวมิลเลนเนียลอังกฤษ เน้นเช่าบ้านมากกว่าซื้อบ้านเป็นของตัวเองเช่นกัน เนื่องจากบ้านมีราคาสูงเกินไปเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 ลอนดอนจะกลายเป็นเมืองที่มีแต่คนเช่าบ้านอยู่ โดยมีสัดส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจริง ๆ อยู่แค่ 40% เท่านั้น
และจาก ข้อมูลจากการสำรวจของ Statista ช่วงปี 2020 ถึง มีนาคม 2021 ซึ่งทาง World Economic Forum นำมารวบรวม แสดงให้เห็นว่า ชาวสวิส เช่าบ้าน 68% เป็นเจ้าของเพียง 31% , ชาวเยอรมนี เช่าบ้าน 64% เป็นเจ้าของ 35% , ชาวฝรั่งเศส เช่าบ้าน 47% เป็นเจ้าของ 50% , สหราชอาณาจักร เช่า 44% เป็นเจ้าของ 56% , แคนาดา เช่า 42% เป็นเจ้าของ 54% , ญี่ปุ่น เช่า 39% เป็นเจ้าของ 61% (แต่ในโตเกียว คนเป็นเจ้าของเพียง 45%) , สหรัฐอเมริกา เช่า 37% เป็นเจ้าของ 58%(แต่ในเมืองนิวยอร์คคนเป็นเจ้าของเพียง 32%) , อิตาลี เช่า 24% เป็นเจ้าของ 71% , จีน เช่า 14% เป็นเจ้าของ 83% , รัสเซีย พื้นที่กว้างใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ราคายังไม่สูง คนจึงเช่าบ้าน 11% และเป็นเจ้าของถึง 87%

มิลเลนเนียลชาวไทยชอบเช่าหรือซื้อมากกว่ากัน?
ด้านมิลเลนเนียลไทยนั้นถือว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจมาก จากผลสำรวจของ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study H1 2020 พบว่า มิลเลนเนียลไทยส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะซื้อบ้านมากกว่าถึง 94% และมีเพียง 6% เท่านั้นที่ต้องการเช่า นอกจากนี้ เมื่อถามว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าวางแผนใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง พบว่า
อันดับ 1 เก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน สูงถึง 79% โดย 53% มีแผนการเก็บเงินที่ชัดเจนในแต่ละเดือน 29% เก็บเท่าที่สามารถเก็บได้ และ 27% มีแผนการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยเพื่อซื้อบ้านหลังแรกในอนาคต
อันดับ 2 ใช้จ่ายกับครอบครัว 69%
อันดับ 3 ใช้จ่ายเพื่อท่องเที่ยว 54%
ทั้งนี้ ชาวมิลเลนเนียลไทยวางแผนที่จะซื้อบ้านของตัวเองในช่วงอายุ 28-35 ปีขึ้นไป หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 32 ปี แต่ส่วนใหญ่จะซื้อบ้านของตัวเองจริง ๆ ในช่วงอายุ 25-30 ปี หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี โดยเหตุผลส่วนใหญ่ในการซื้อบ้านใหม่ ได้แก่ ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มความสะดวกมากขึ้น และต้องการพื้นที่มากขึ้นสำหรับลูก/พ่อแม่
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจยังพบว่า ชาวมิลเลนเนียลส่วนหนึ่งยังคงเลือกที่จะอยู่กับพ่อแม่มากกว่าแยกออกมาอยู่อาศัยเอง โดยพบว่า 1 ใน 5 ของกลุ่มนี้ยังเป็นคนโสด และ 1 ใน 6 ของกลุ่มนี้เป็นผู้ที่แต่งงานและมีลูกแล้ว เนื่องจากมองว่าอสังหาริมทรัพย์ยังแพงเกินไป อัตราสินเชื่อบ้านอยู่ในระดับสูง และกังวลเกี่ยวกับมาตรการรัฐที่ไม่เอื้อต่อการซื้อบ้าน และส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
จะเห็นได้ว่าสำหรับคนไทยเองแล้วยังมองบ้านเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต และชาวมิลเลนเนียลไทย ไม่ใช่ Gen Rent เหมือนกับชาติอื่น ๆ ในฝั่งอเมริกา หรือยุโรป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Gen ไหน หรือชาติไหน ก็ยังอยากที่จะซื้อบ้านมากกว่าเช่าอยู่ดี เพียงแต่ติดอุปสรรคสำคัญคือ “ไม่มีเงิน” ที่จะซื้อ
จากข้อมูลของ IMF Housing Watch ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก BIS มาแสดงว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้นมาถึงประมาณ 72% เพราะฉะนั้น บ้านจึงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมาก ซึ่งเรา “ANTONIO” มองเห็นในจุดนี้ โดยธุรกิจของเราในตอนนี้ก็ คือ “การร่วมลงทุน” โดยมีหลายช่องทาง อย่างเช่น ลงทุนในอสังหาฯ หรือ Asset , การปล่อยสินเชื่อ หรือ เงินกู้ ในรูปแบบ ขายฝาก และ รับจำนอง ซึ่งเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าในสินทรัพย์ที่น่าลงทุนแบบนี้ ในยุคนี้ โดยที่ความเสี่ยงต่ำสุดๆหรือแทบจะไม่มีเลย โอกาสของคุณมาถึงแล้วครับ ร่วมลงทุนกับเรา Antonio สร้างธุรกิจร่วมกัน
“เราไม่ได้ขายฝัน แต่เราทำมันให้เกิดขึ้นจริง”
สำหรับเจ้าของกิจการ ที่มีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียน ธนาคารเริ่มคุยยากขึ้น เจ้าหน้าที่ธนาคารที่ดูแล ไม่เหมือนเดิม มาถึงตรงนี้ Antonio Attorney ทีมงานเรา พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษา รับหน้าที่ เจรจา แก้หนี้ ให้กับธุรกิจของคุณนะครับ สนใจติดต่อสอบถาม พูดคุยกับผมได้ ครับ 081 869 0878
หรือ ให้ผมเป็นที่ปรึกษา แบบส่วนตัว
แบบที่ 1 พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ ไม่จำกัดครั้ง คุยกันได้ตลอดชีพ ค่าบริการ 2,500 บาท ตลอดชีพ
แบบที่ 2 สามารถเจอผมได้ 1 ครั้ง คุณอาจจะพาครอบครัวหรือทีมงาน เราพูดคุยกับผมได้ ประชุมร่วมกันครับ วันนี้ขอจำกัดเวลาประมาณไม่เกิน 3 ชั่วโมงนะครับ หลังจากนั้นคุณสามารถโทรศัพท์พูดคุยกับผมได้ไม่จำกัดครั้ง แล้วคุยตลอดชีพได้เช่นเดียวกันครับ แบบที่ 2 ราคาค่าบริการ 7,000 บาทครับ
KBANK 766 2 21897 3 / SCB 407 0 55631 0
เมื่อโอนเงินแล้ว ส่งสลิปโอนเงินมาที่ LineID : @antonio ส่งสลิปมาแล้ว ไม่ต้องทักนะครับ เดี๋ยวข้อความมันจะเลื่อน ผมจะหาไม่เจอว่าใครโอนเงินมา เนื่องจาก ผมมีคนไลน์เข้ามาจำนวนมาก ส่งสลิปมาแล้วรอ ผมจะรีบติดต่อกลับนะครับ
——————————————————————————————————————-
แก้หนี้ สร้างหนี้ เราจัดการให้
ติดต่อ LineID : @antonio
ติดตามคลิปดีๆ ในแวดวงการเงิน การธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ได้ที่ Youtube
และติดตามผมต่อได้ที่ Facebook/AntonioAttorney.Company
สนใจให้ผมเป็นที่ปรึกษาการเงินส่วนตัว คลิกเลยครับ
ดูคลิปพิเศษจาก Antonio https://bit.ly/3wqjila
ติดต่อ ผมที่ email : antonioattorney@gmail.com หรือ LineID : @antonio
ที่ปรึกษาสำหรับ ผู้ประกอบการ SME แก้หนี้ หรือ ขอกู้เงิน สินเชื่อ คลิกเลยครับ Antonio SME